กระดุมเงิน กระดุมเงิน (Plains blackfoot) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Eriocaulon henryanum Ruhle เป็นไม้ล้มลุกประเภทหญ้าที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อน โดยลำต้นมีลักษณะเป็นกอจากเหง้าใต้ดิน ส่วนใบเป็นใบเดี่ยวเรียงยาว ปลายแหลม และมีดอกสีขาวที่ออกเป็นช่ออยู่บริเวณปลายยอด โดยจะออกในช่วงฤดูปลายฝนถึงฤดูหนาว ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดหรือแยกกอ ส่วนเรื่องการดูแล กระดุมเงินเป็นพืชที่ชอบพื้นที่ที่มีความชื้นแฉะ โล่งโปร่ง ชุ่มชื้น อีกทั้งยังมีความทนทานสูง จึงไม่จำเป็นต้องดูแลมาก 10.
แววมยุรา แววมยุราหรือเทอราเนีย (Torania) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Torenia fournieri เป็นไม้ล้มลุกที่มีอายุประมาณ 1 ปี ลำต้นเป็นสันเหลี่ยม ตั้งตรง มีขนปกคลุม มีใบเป็นรูปหอก ปลายใบแหลม โคนใบเว้าคล้ายรูปหัวใจ ออกดอกเป็นช่อขึ้นตามซอกใบและปลายกิ่ง ออกดอกได้ตลอดทั้งปี มีทั้งดอกสีแดงง ชมพู ม่วง หรือมีหลายสีในดอกเดียวกัน ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดในดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี และควรปลูกในพื้นที่ที่โดนแสงแดดตลอดทั้งวัน 6.
แพรเซี่ยงไฮ้ แพรเซี่ยงไฮ้ หรือชื่ออื่นว่า ดอกผักเบี้ย, แดงสวรรค์ และผักเบี้ยฝรั่ง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Moss-rose หรือ Purslane และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Portulaca grandiflora เป็นพืชคลุมดินขนาดเล็ก อายุยืน มีลักษณะลำต้นกลม อวบน้ำ ค่อนข้างเปราะ ส่วนใบเป็นแท่งสีเขียว มีลักษณะกลม ยาว ปลายแหลม ส่วนดอกออกเป็นกระจุกปลายก้าน มีทั้งสีชมพู สีแดง สีส้ม และสีเหลือง ขยายพันธุ์ง่าย ๆ ด้วยการปักกิ่งชำ โดยแพรเซี่ยงไฮ้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด แถมยังออกดอกสวยงามอยู่เสมอ ฉะนั้นถ้าไม่รู้จะปลูกพืชคลุมดินอะไรดี แพรเซียงไฮ้ก็เป็นตัวเลือกที่เข้าท่าเลยล่ะ 4. บลูฮาวาย บลูฮาวาย ชื่อภาษาอังกฤษว่า Blue Hawaii โดยมีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Otacantus caeruleus Lindl. เป็นไม้ดอกคลุมดินทรงพุ่มโปร่ง มีอายุประมาณ 4-5 ปี ลำต้นมีเปลือกสีม่วงอมแดง ใบสีเขียวเข้ม มีลักษณะรี ปลายแหม ส่วนดอกออกเป็นช่อสีม่วงอมน้ำเงินแกมสีขาวตรงกลางดอก แถมยังมีกลิ่นหอม อยู่กับต้นได้ประมาณ 1 สัปดาห์ และออกดอกได้ตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ได้ทั้งการปักชำและเพาะเมล็ด ปลูกเลี้ยงง่าย โดยเฉพาะในดินร่วนซุย ชอบน้ำปานกลาง ที่โล่งแจ้งมีแดดส่งถึงตลอดวัน ดูแลด้วยการหมั่นตัดแต่งทรงพุ่มบ่อย ๆ 5.
ยาว 8 ฟุต (2440 มม. ) และมีความหนาให้เลือกหลายขนาด ตั้งแต่ 3, 4, 6, 10, 15 และ 20 มม. แต่ความหนาของไม้อัดนั้น จะไม่ตรงกับขนาดที่ระบุเสมอไป เช่น ไม้อัดหนา 20 มม. อาจจะมีความหนาจริงแค่ 17 มม. เท่านั้น ดังนั้นการใช้ไม้อัดควรคำนึงถึงความหนาจริงของไม้ด้วย ประเภทของ ไม้อัด (Plywood) มีอะไรบ้าง? 1. ไม้อัดแบบแบ่งตามกาวที่ใช้ ประเภทภายนอก ใช้กาวที่ ทนทานต่อลมฟ้าอากาศ เช่น ทนต่อน้ำ, น้ำทะเล, ละอองน้ำร้อน, ละอองน้ำเย็น ทนต่อความชื้นอากาศ เช่น น้ำเดือด, ไอน้ำ และความร้อน-แห้งได้ดี เหมาะสำหรับใช้ภายนอกอาคารหรือในที่ซึ่งถูกน้ำหรือละอองน้ำ นิยมใช้ในงานก่อสร้าง งานป้ายโฆษณากลางแจ้ง, งานแแบบก่อสร้าง, งานพื้นเวทีการแสดง, งานก่อสร้างริมทะเล, งานเฟอร์นิเจอร์, ผนังกันห้อง ใช้งานในเรือเดินทะเล ประโยชน์ใช้งานหลากหลาย จึง เป็นที่นิยมมาก โดยเฉพาะงานแบบหล่อคอนกรีตและต่อเรือ 2. ไม้อัดกันน้ำ ไม้อัดกันน้ำ คือแผ่นไม้สน (pine wood) และไม้ยาง (rubber wood) แผ่นบาง นำมาอัดสลับชั้น ประกอบให้ยึดติดกันด้วยกาว ลักษณะสำคัญคือ การจัดให้ไม้บางแต่ละแผ่นมีแนวเสี้ยนขวางตั้งฉากกัน เพื่อเพิ่มคุณสมบัติ ความแข็งแรง ของไม้อัด มีความทนต่อแรงบิด แรงเฉือน แรงดัดตัว คุณสมบัติกันน้ำได้ พอสมควร และลดการขยายตัว-หดตัวในระนาบของแผ่นให้น้อยที่สุด 3.
จะแบ่งเป็นเกรด A (ไม้อัดบางนา), B (ไม้อัดโรงใหม่) และ C (ไม้แบบ) ดังนี้ 1. เริ่มจากกระบวนการนำซุง เปิดปีกไม้ โดยเครื่องเลื่อยสายพาน คือการตัดเปลือกนอกออก ให้เหลือเนื้อไม้ตามหน้าตัดซุง เป็นสี่เหลี่ยม 2. ส่งซุงเข้าต้ม เพื่อให้ไม้นิ่ม และดำเนินการสไลด์ตามแนวยาวตามขนาดท่อนซุง ออกมาเป็นแผ่นเยื่อไม้บาง ๆ เรียกว่าวีเนียร์ ความหนาอยู่ที่ประมาณ 0. 8-1. 2 มม. 3. นำวีเนียร์ที่ได้ ผ่านเครื่องตัด เพื่อตัดริมขอบวีเนียร์ ให้เป็นเส้นตรง และตัดความยาวที่เกินมากไป 4. ขั้นตอนนี้จะนำวีเนียร์ที่ตัดริม มาเย็บให้ติดกัน โดยใช้กระดาษกาวสำหรับปิดวีเนียร์ หรืออาจจะใช้เครื่องเย็บวีเนียร์ ที่เป็นลักษณะใช้เส้นกาวเย็บแทนเส้นด้าย จนได้หน้ากว้างประมาณ 1240 มม. ความยาวประมาณ 2450 มม. และหน้ากว้างประมาณ 2450 มม. ความยาวประมาณ 1240 มม. ** โดยส่วนมาก จะใช้เฉพาะเกรด B ขึ้นไป ถ้าเป็นเกรดต่ำ ๆ หน่อย จะอาศัยวางเรียงกันโดยไม่ทำตามขั้นตอนนี้ 5. นำวีเนียร์ที่ได้ทากาวลาเท็กซ์อุตสาหกรรม โดยมาวางเป็นชั้น ๆ สลับลายตามแนวขวางลาย และตามแนวขนานลาย จนได้ความหนาที่ต้องการ แต่จะวางทับเป็นชั้นเลขคี่เสมอ ถ้าเป็นไม้อัดเกรดดีหน่อย มักจะวางชั้นให้ได้ความหนาเกินขนาดที่ต้องการไว้ก่อน **การวางสลับลายระหว่างชั้นนั้น เพื่อให้เกิดการดึงตัวระหว่างผิวภายในที่เท่ากันทั้ง 2 ด้าน ไม่ให้เกิดการบิดตัวโก่งงอ เมื่อทำเป็นแผ่นสำเร็จ 6.
เ นื้ อไม้ ไม้ยมหอมมีลักษณะเ นื้ อไม้เป็นลาย มีสีแดงอ่อนถึงสีน้ำตาล มีกลิ่นหอม มีความแข็งแรงทนทาน นิยมนำมาทำเป็นฝากระดาน ไม้วงกบ หน้าต่าง ไม้ฝ้าเพดาน ไม้บุผนัง ทำหีบใส่ของ เครื่องดนตรี อุปกรณ์กีฬา ต่อเรือ เป็นต้น ซึ่งไม้ยมหอมนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงนำมาเป็นไม้ต่อเรือใบของพระองค์เอง 2. ส มุ uไ w s 1. ย างที่ได้จากไม้ยมหอมใช้สำหรับสมานแ ผ ล รักษาแ ผ ล 2.
คนรักสวนไม่ควรพลาด!
ไม้ยมหอมที่มีขนาด หน้า 4-6 สามารถเริ่มตัดฟันมาใช้เป็นไม้แปรรูปได้ ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 4-5 ปี ขึ้นไป 2. ไม้ยมหอมที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปี สามารถมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 25-30 ซม. ซึ่งจะมีลวดลายและสีที่เข้มเหมาะสำหรับนำมาแปรรูป 3. ไม้ยมหอมปัจจุบัน ราคาคิวละประมาณ 8, 000-10, 000 บาท ซึ่งอาจมีราคาเพิ่มขึ้นเ นื่ องจากปลูกและดูแลย าก เกษตรผู้ปลูกมีไม่มากและความต้องการทางตลาดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 4. ไม้ยมหอมอายุ 10 ปี ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 30 ซม. สูง 6 เมตร จะใช้ต้นยมหอม 3 ต้น ดังนั้นเมื่อปลูกที่ 10 ปี จะขายได้ราคาประมาณ 3, 000 บาท/ต้น แหล่งที่มา
โคลงเคลงเลื้อย โคลงเคลงเลื้อย (Spanish Shawl) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Heterocentron elegans (Schltdl. ) เป็นไม้เลื้อยคลุมดินขนาดเล็ก อายุหลายปี มีลำต้น กิ่ง และก้านเป็นสีม่วงแดง มีลักษณะอวบน้ำและมีขน ส่วนใบมีสีเขียวเข้ม ทรงไข่ ขอบเรียบ มีดอกสีม่วงสดหรือม่วงอมชมพูอยู่บริเวณปลายยอด สามารถขยายพันธุ์ได้ทั้งวิธีเพาะเมล็ด ปักชำ และตอนกิ่ง ชอบดินร่วนเป็นกรดอ่อน ๆ ชุ่มชื้น ปลูกได้ในที่มีแดดเต็มวันหรือครึ่งวัน และรดน้ำปานกลาง 8. บัวดิน บัวดิน (Rain lily) หรือที่บางคนเรียกว่าบัวสวรรค์หรือบัวจีน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zephyranthes spp.
การปลูกในแปลง ซึ่งควรมีการไถพรวนดิน และกำจัดวั ช พื ชออกเสียก่อนพร้อมขุดหลุมและโรยด้วยปุ๋ยคอกรองก้นหลุม 3-5 กำมือ ปลูกต่อกัน 2-4 ต้น ในระยะ 4×4 หรือมากกว่าและให้ปลูกแซมเว้นชนิดกับไม้ยืนต้นชนิดอื่น เช่น กระถินเทพา สะเดา มะฮอกกานี คูน เป็นต้น 2. การปลูกบนหัวไร่ปลายนา อาจปลูกเป็นแถวต่อกันหรือปลูกโดยเว้นสลับกับพืชชนิดอื่นข้างต้น ในระยะและใช้แนวทางเดียวกันกับการปลูกในแปลง แนวทางการจัดการ 1. ก่อนถึงระยะแ n งยอดอ่อนหรือเริ่มแ n งยอดอ่อนให้ฉีดพ่นสารกำจัดแ ม ล งชนิดดูดซึม ฉีดทุกๆ 15 วัน บริเวณยอดอ่อน 2. ควรปลูกในจำนวนน้อยกระจายเป็นจุดๆ และปลูกแซมด้วยไม้ยืนต้นชนิดอื่น 3. ไม้ด้านล่างควรปลูกแซมด้วยไม้ชนิดออกยอดอ่อนที่หนอนเจาะยอดสามารถกินกินได้ 4. ปลูกในแนวตั้งฉากกับดวงอาทิตย์เพื่อให้เกิดร่มเงาแก่ต้นอื่น เ นื่ องจาก wี เ สื้ อกลางคืนชอบวางไข่ในต้นไม้ที่ถูกแสงมากกว่าต้นไม้ที่มีร่มมาก 5. ห มั่ นตัดแต่งยอดอ่อนที่แ n งขึ้นใหม่ให้เหลือเพียงยอดเดียว เพื่อให้ยมหอมเติบโตเป็นลำต้นสูง ไม่แตกกิ่งเป็นทรงพุ่มก่อน 6. หากดูแลรักษาให้ลำต้นสูงตั้งแต่ 6-8 เมตร ขึ้นไปได้ ก็สามารถให้ยอดแตกทรงพุ่มได้ การตัดต้นใช้ประโยชน์ 1.